กระบวนการเกิด หินอัคนีเกิดจากการเย็นตัวของหินหนืดหรือลาวา ซึ่งจะเย็นตัวลงแล้วตกผลึกหินหนืดที่แข็งตัวให้เปลือกโลกในระดับที่สึกจะเป็นหินพลูโทนิค (Plutonic Rock) หรือเรียกว่าหินอัคนีระดับลึก จะมีเม็ดแร่ขนาดใหญ่ ลาวาหรือหินหนืดบางส่วนที่เกิดจากการประทุของภูเขาไฟ เมื่อเย็นตัวลงบนพื้นโลกก็จะเกิดเป็นหินภูเขาไฟ (Volcanic Rock) จะมีเม็ดแร่ขนาดเล็กละเอียดในกรณีที่หินหนืดมีการแทรกซอนเข้าใกล้ผิวโลกแล้วเย็นตัวลงจะทำให้เกิดหินอัคนีที่มีเม็ดแร่ขนาดใหญ่ปะปนกับเม็ดแร่ขนาดเล็ก ลักษณะพื้นฐาน
- เม็ดแร่จะจับตัวกันแน่น (Interlocking) จะมีความพรุ่นต่ำ
- เนื้อหินจะสมานกันแน่นทั้งก้อน (Massive) ไม่พบรอยแตก
- แร่ในเนื้อหินจะไม่ค่อยพบกับการจัดเรียงตัว
- มีแร่เฟลด์สปาร์สูง และจะมีแร่เด่น คือ แร่เพลด์สปาทอยด์ โอลิวีน โครไมต์
- บางส่วนในเนื้อหินจะมีแก้วธรรมชาติปะปนอยู่บ้าง
พนังหิน : เมื่อหินหนืดดันแทรกเข้าไปตามโครงสร้างที่แตกร้าวของหินเดิมและเย็นตัวกลายเป็นหินแข็ง
เรียกว่า พนังหินซึ่งมักมีมุมสูงชัน
พลูโทน : เป็นมวลหินอัคนีที่แข็งตัวใต้เปลือกโลกที่ระดับความลึกมาก ขนาดของมวลพลูโทน
อาจกว้างนับร้อย ๆ กิโลเมตร
พนังแทรกชั้น : หินหนืดสามารถแทรกตัวเข้าไปอยู่ระหว่างแนวระนาบของหินชั้น
และเมื่อเย็นตัวลงเป็นหินแข็งจะกลายเป็นพนังแทรกชั้น
หลังจากที่หินชั้นถูกกัดกร่อนทำลายไปจะเหลือสันแนวยาวโผล่ให้เห็นบนพื้นผิวโลกแบ่งเป็น1. หินอัคนีแทรกซอน ได้แก่ หินเพกมาไทต์
เรียกว่า พนังหินซึ่งมักมีมุมสูงชัน
พลูโทน : เป็นมวลหินอัคนีที่แข็งตัวใต้เปลือกโลกที่ระดับความลึกมาก ขนาดของมวลพลูโทน
อาจกว้างนับร้อย ๆ กิโลเมตร
พนังแทรกชั้น : หินหนืดสามารถแทรกตัวเข้าไปอยู่ระหว่างแนวระนาบของหินชั้น
และเมื่อเย็นตัวลงเป็นหินแข็งจะกลายเป็นพนังแทรกชั้น
หลังจากที่หินชั้นถูกกัดกร่อนทำลายไปจะเหลือสันแนวยาวโผล่ให้เห็นบนพื้นผิวโลกแบ่งเป็น1. หินอัคนีแทรกซอน ได้แก่ หินเพกมาไทต์
ประเภท | อัคนีแทรกซอน |
ลักษณะ | จะมีลักษณะรูปร่างแบบโครงสร้างกราฟฟิค (Graphic Structure) เนื้อหยาบ |
กระบวนการเกิด | ของเหลวที่เหลือจากการตกผลึกของหินหนืดในช่วงสุดท้าย เรียกว่าสารละลายไฮโดรเทอร์มอล หรือแร่ร้อน (Hydrothermal Solution) สารละลายไฮโดรเทอร์มอลจะตกผลิกให้แร่ซึ่งมีขนาดใหญ่มาก |
องค์ประกอบ | ควอร์ตซ์และออร์โทเคลสเฟลด์สปาร์เป็นส่วนใหญ่ และมีไมกาบ้างเล็กน้อย บางที่ควอร์ตซ์ก็จะเกิดเป็นรูปนิ้วมืออยู่ในออร์โทเคลสเฟลด์สปาร์ แร่ที่ประกอบ เบอร์ลเลียม อะลูมินา และซิลิกา |
บริเวณที่พบ | นราธิวาส, ตาก, ระนอง |
ประโยชน์ | เป็นวัสดุก่อสร้าง ถ้ามีแร่เฟลสปร์มากเมื่อผุพังแล้วจะให้แร่ดินขาว ซึ่งใช้ในอุตสากรรมเซรามิก |
ประเภท | อัคนีแทรกซอน |
ลักษณะ | เนื้อหยาบ ผลึกแร่ใหญ่ค่อนข้างสม่ำเสมอ มีสีคล้ำอาจถึงดำเพราะปริมาณแร่สีเข้มมีมากขึ้น |
กระบวนการเกิด | กำเนิดอยู่ภายใต้ผิวโลก เกิดจากหินหนืดมาเย็นตัวเป็นหินอยู่ใต้พื้นผิวโลก |
องค์ประกอบ | แร่ที่สำคัญคือ แร่เพลจิโอเคลสเฟลด์สปาร์ ไปโอไทต์ ฮอร์นเบลนด์ และ ไพรอกซีน จะไม่มีแร่ควอตซ์ปนอยู่ด้วย หรืออาจจะมีแต่น้อยมาก แร่ที่การเพิ่มมากขึ้น คือ โซดาไลม์เฟลด์สปาร์ และแร่สีเข้ม |
บริเวณที่พบ | ในประเทศไทยพบไม่มากนัก และโดยมากในบริเวณเดียวกับที่ที่พบหินแกรนิต เช่นที่จังหวัดตาก เลย แพร่ น่าน อุตรดิตถ์ เพชรบูรณ์ เชียงราย สระบุรี ลพบุรี และนครราชสีมา |
ประโยชน์ | ใช้เป็นหินก่อสร้างแทนหินแกรนิต เพราะว่ามีค่ากำลังวัสดุสูง เนื้อหยาบ ความพรุนต่ำ มีการยึดติดกับยางมะตอยสูง |
หินแกรนิต
ประเภท | อัคนีแทรกซอน |
ลักษณะ | เป็นหินที่มีเนื้อหยาบหรือเป็นดอกผลึกเกาะกันแน่นเห็นได้ชัด ดูโดยทั่วไปเป็นหินสีจาง เพราะมีแร่ส่วนใหญ่เป็นแร่พวกเฟลด์สปาร์และ ควอร์ตซ์ เมื่อทุบดูจะเห็นผิวหน้าที่ขรุขระได้ชัดเจน |
กระบวนการเกิด | เกิดจากการเย็นตัวอย่างช้า ๆ ภายใต้พื้นผิวโลก |
องค์ประกอบ | แร่ที่สำคัญคือ แร่ควอร์ตซ์ประมาณ 30% กับแร่เฟลด์สปาร์ โดยเฉพาะพวกออร์โทเคลสประมาณ 60% แร่สีเข้มประมาณ 10% ได้แก่ ฮอร์นเบลนด์ ไบโอไทต์ ทัวร์มาลีน มีแทรกกระจายอยู่โดยทั่วไปในเนื้อหิน (ถ.พ. เฉลี่ย 2.66) |
บริเวณที่พบ | ภาคตะวันออก จังหวัดจันทบุรี ระยอง ชลบุรี ภาคเหนือตั้งแต่จังหวัดเชียงรายจนถึง จังหวัดตาก ภาคใต้แถบบริเวณเขตแดนไทย – พม่า จังหวัดสงขลา ยะลา และจังหวัดนราธิวาส |
ประโยชน์ | เนื่องจากมีเนื้อเหนียวและแข็ง ทนทานต่อการผุสึกกร่อน เนื้อหินเมื่อนำมาตัดเป็นแผ่นเรียบขัดมันจะมีลวดลายสวยงามมาก ใช้เป็นหินประดับและหินก่อสร้าง เพราะมีความแข็งแรงคงทน เมื่อโม่ย่อยเพื่อผลิตเป็นวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้าง เช่น ส่วนผสมคอนกรีตทำถนน ทำอนุสาวรีย์ ทำครก นับว่าใช้เป็นหินประดับและหินก่อสร้าง |
หินแกรนิต สีชมพู
ประเภท | อัคนีแทรกซอน |
ลักษณะ | เป็นหินที่มีเนื้อหยาบหรือเป็นดอกผลึกเกาะกันแน่นเห็นได้ชัด ดูโดยทั่วไปเป็นหินสีจาง เพราะมีแร่ส่วนใหญ่เป็นแร่พวกเฟลด์สปาร์สีชมพูและ ควอร์ตซ์ เมื่อทุบดูจะเห็นผิวหน้าที่ขรุขระได้ชัดเจน |
กระบวนการเกิด | เกิดจากการเย็นตัวอย่างช้า ๆ ภายใต้พื้นผิวโลก |
องค์ประกอบ | แร่ที่สำคัญคือ แร่ควอร์ตซ์ประมาณ 30% กับแร่เฟลด์สปาร์ โดยเฉพาะพวกออร์โทเคลสประมาณ 60% แร่สีเข้มประมาณ 10% ได้แก่ ฮอร์นเบลนด์ ไบโอไทต์ ทัวร์มาลีน มีแทรกกระจายอยู่โดยทั่วไปในเนื้อหิน (ถ.พ. เฉลี่ย 2.66) |
บริเวณที่พบ | จังหวัดตาก นครสวรรค์ และจันทบุรี |
ประโยชน์ |
เนื่องจากมีเนื้อเหนียวและแข็ง ทนทานต่อการผุสึกกร่อน เนื้อหินเมื่อนำมาตัดเป็นแผ่นเรียบขัดมันจะมีลวดลายสวยงามมาก ใช้เป็นหินประดับและหินก่อสร้าง เพราะมีความแข็งแรงคงทน เมื่อโม่ย่อยเพื่อผลิตเป็นวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้าง เช่น ส่วนผสมคอนกรีตทำถนน ทำอนุสาวรีย์ ทำครก นับว่าใช้เป็นหินประดับและหินก่อสร้าง |
2. หินอัคนีพุ ได้แก่
หินแอนดีไซต์
ประเภท | อัคนีพุ |
ลักษณะ | เป็นหินที่เนื้อละเอียด ผลึกของแร่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น เพราะแร่ตกผลึกอย่างรวดเร็ว ทำให้ผลึกแร่มีขนาดเล็ก มีสีม่วง เขียว เทาแก่ หรือดำ ต้องใช้กล้องจุลทรรศน์ตรวจวินิจฉัย |
กระบวนการเกิด | เกิดจากหินหนืดเย็นตัวบนพื้นผิวโลก |
องค์ประกอบ | ประกอบด้วยแร่ที่สำคัญ คือ แร่แพลจิโอเคลสเฟลด์สปาร์ และแร่สีเข้มพวกฮอร์นเบลนด์ ไพรอกซีน และไบโอไทต์ บางแหล่งจะเป็นแร่ไพรอกซีนใหญ่ฝังลอยในเนื้อหินละเอียด หน้าตัดจะเห็นชัดเป็นรูปสี่เหลี่ยม หรือมีแร่เฟลด์สปาร์ใหญ่ฝังในเนื้อหินซึ่งสีจะเข้ม |
บริเวณที่พบ | ตามขอบที่ราบสูงโคราช เช่น จังหวัดนครราชสีมา สระบุรี เพชรบูรณ์ ลพบุรี นครนายก แพร่ และจังหวัดลำปาง ทางด้านทิศตะวันออก จังหวัดปราจีนบุรี และจังหวัดตราด |
ประโยชน์ | ใช้เป็นหินก่อสร้าง ทำถนน ทางรถไฟ ทำหินเกล็ด เคยมีการระเบิดทำเหมืองอยู่ที่เขาตะกร้า จ.สระบุรี |
หินไรโอไลต์
ประเภท | อัคนีพุ |
ลักษณะ | เนื้อละเอียดมาก โดยทั่ว ๆ ไป มักจะมีสีจาง เช่น ขาว ชมพูซีด หรือ เทา บางทีก็มีเนื้อแก้ว มักจะเป็นเม็ดแร่ควอร์ตซ์ใส ๆ ฝังในเนื้อหิน |
กระบวนการเกิด | เกิดจากหินลาวาขึ้นมาสู่ผิวโลกและเย็นตัวบนผิวโลก เป็นการเย็นตัวค่อนข้างที่จะรวดเร็ว |
องค์ประกอบ | ส่วนใหญ่จะประกอบด้วยแร่เฟลด์สปาร์ และแร่ควอร์ตซ์ แร่อื่น ๆ ที่มีแต่ไม่สำคัญ ได้แก่ไบโอไทต์ ฮอร์นแบลนด์ บางครั้งอาจจะพบผลึกที่มีขนาดโต |
บริเวณที่พบ | หินโผล่ ปรากฏเป็นบริเวณทั่วไปตามภาคต่าง ๆ ยกเว้นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่มีลักษณะเป็นเขาใหญ่ที่มีต่อเนื่องกัน พบที่ จังหวัดสระบุรี ลพบุรี เพชรบุรี และจังหวัดแพร่ |
ประโยชน์ | ใช้เป็นหินก่อสร้าง ทำถนน ทางรถไฟ ทำครก ประดับสวน และอาคาร |
หินพัมมิช
ประเภท | อัคนีพุ |
ลักษณะ | เนื้อเป็นฟองและเบา มีเนื้อสีจาง เช่น สีขาว มีรูพรุนเล็ก ๆ เต็มไปหมด จนบางครั้งสามารถลอยน้ำได้ เนื้อไม่เนียน เพราะมีรูพรุ่น แต่อย่างไรก็ตามเนื้อยังเป็นแก้ว เพราะลาวาเย็นตัวเสียก่อนที่แร่จะตกผลึกได้ทัน ก๊าซที่มีปนอยู่ในเนื้อทำให้เกิดเป็นรูเล็ก ๆ ทั้งก้อน |
กระบวนการเกิด | เกิดจากหินลาวาขึ้นมาเย็นตัวบนพื้นผิวโลก |
องค์ประกอบ | แร่ที่เป็นส่วนประกอบเกือบทั้งหมดเป็นพวกซิลิกา ที่เป็นแร่ควอว์ตซ์เม็ดเล็กละเอียด หรือส่วนที่เป็นแก้วธรรมชาติ |
บริเวณที่พบ | พบตามชายทะเล จังหวัดระยอง ซึ่งลอยมาได้จากที่อื่น |
ประโยชน์ | ให้เป็นหินถูตัว ใช้ทำวัสดุขัดถูภาชนะดี ทำให้ผิวภาชนะเป็นเงาวาว บางก้อนถ้าตัดได้เป็นแผ่น ใช้ทำเป็นฉนวนในเครื่องทำความเย็นผสมหากนำมาใช้กับปูนซีเมนต์ และปูนพลาสเตอร์จะทำให้น้ำหนักเบาขึ้น |
หินบอมบ์ภูเขาไฟ
ประเภท | อัคนีพุ |
ลักษณะ | มีเนื้อละเอียด สีเข้ม หรือเทา แก่ถึงดำ น้ำตาลแก่ ส่วนมากมีรูพรุน มีลักษณะกลมมน หรือคล้ายลูกรักบี้ |
กระบวนการเกิด | เกิดจากการประทุของภูเขาไฟ เป็นหินหนืดที่ถูกพ่นขึ้นไป และเย็นตัวในอากาศ |
องค์ประกอบ | แร่ที่สำคัญคือ แร่แพลจิโอเคลสเฟลด์สปาร์ และแร่สีเข้มอื่น ๆ เช่น ไพรอกซีนละเอียดมาก เฟลด์สปาร์ ฮอร์นเเบลนด์ และโอลิวีน แต่ผลึกแร่เล็กละเอียดมาก มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นและยังไม่ทำปฏิกิริยากับกรดเกลือ |
บริเวณที่พบ | จังหวัดบุรีรัมย์ ศรีสะเกษ และลำปาง |
ประโยชน์ | ใช้เป็นหินประดับสวน โม่ทำวัสดุก่อสร้าง |
หินบะซอลต์
ประเภท | อัคนีพุ |
ลักษณะ | มีเนื้อละเอียด สีเข้ม หรือเทาแก่ถึงดำ น้ำตาลแก่ และหนัก ส่วนมากมีรูพรุน อายุของหินที่พบในประเทศไทยนับว่ามีอายุใหม่มาก ประมาณ 2 – 10 ล้านปี อยู่ในยุค Quaternary – Late Tertiary |
กระบวนการเกิด | เกิดจากหินลาวาขึ้นมาเย็นตัวบนพื้นผิวโลก |
องค์ประกอบ | แร่ที่สำคัญคือ แร่แพลจิโอเคลสเฟลด์สปาร์ และแร่สีเข้มอื่น ๆ เช่น ไพรอกซีนละเอียดมาก เฟลด์สปาร์ ฮอร์นเเบลนด์ และโอลิวีน แต่ผลึกแร่เล็กละเอียดมาก มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นและยังไม่ทำปฏิกิริยากับกรดเกลือ |
บริเวณที่พบ | พบมากที่ จังหวัดจันทบุรี ตราด กาญจนบุรี แพร่ บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ เชียงราย และลำปาง เป็นหินที่พบว่าเกิดพลอยพวก คอรันดัม เช่น ทับทิม ไพลิน |
ประโยชน์ | ใช้ในการก่อสร้าง แต่ไม่ค่อยดีนัก แต่ถ้าจำเป็นก็ใช้เป็นวัสดุสร้างทางได้ หินบะซอลต์ถ้าผุจะกลายเป็นดินที่ใช้ประโยชน์ในการเพาะปลูก และยังเป็นหินประดับได้ |
หินออบซิเดียน
มีส่วนประกอบหลักเป็นสารซิลิกา มีความวาวแบบแก้วและมีหลายสีมีทั้งดำ เทา (มักมีแถบสีน้ำตาล) น้ำตาล เขียว น้ำเงิน และเขียวน้ำเงิน แต่สีน้ำเงิน สีเขียว และสีแดงหาได้ยาก สีเหล่านี้เกิดจากมลทินที่แทรกอยู่ในเนื้อหิน อาจมีแมกนีไทท์ เฮมาไทดต์หรืออื่น ๆ สีของมันอาจสม่ำเสมอหรืออาจมีลายปนอยู่ก็ได้ ออบซิเดียน สีดำก็อาจมีสีเทาโปร่งแสงให้เห็นอยู่ตรงส่วนขอบได้ด้วย นอกจากนี้แล้วออบซิเดียน อาจปรากฏให้เห็นเหลือบสีสวย ๆ ได้อีกด้วย อาจเป็นสีทอง สีเงิน น้ำเงิน ม่วงเขียวหรืออาจเห็นทุกสีปรากฏอยู่พร้อม ๆ กันก็ได้ เหลือบสีเหล่านี้เกิดจากฟองอากาศขนาดเล็กซึ่งมักจะเรียงตัวขนานกัน ทำให้เกิดประกายแสงและสี โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เห็นเป็นประกายสีทองนั้น พบได้บ่อยกว่าและที่เห็นเป็นประกายสีเงินนั้นเกิดจากมลทินรูปเข็ม ในอดีตออบซิเดียน มักถูกนำมาใช้เป็นทั้งอาวุธ ทั้งภาชนะและเครื่องประดับ โดยเฉพาะในยุคหินมักนำเอามาทำเป็นอาวุธ เพราะมันค่อนข้างแข็งและมีรอยแตกที่คม และในสมัยที่อิรักเจริญรุ่งเรือง เมื่อ 7,000 ปีก่อนโน้นก็ได้นำเอาออบซิเดียน สีดำมาร้อยเข้ากับเปลือกหอยเบี้ย เพื่อทำสร้อยประคำ ซึ่งถือเป็นเครื่องประดับชิ้นแรกของโลกก็ว่าได้ นอกจากนี้แล้วในศตวรรษที่ 16 ที่เม็กซิโก ก็ยังมีการนำเอาออบซิเดียน มาทำเป็นทั้งมีดและหัวลูกธนูและในยุคปัจจุบัน อาจเอามาทำเป็นรูปแกะสลัก วัตถุ สำหรับประกอบพิธีทางศาสนาหรือเครื่องประดับประเภทคอสตูมก็ได้ ที่เรียกว่า “ออบซิเดียนเหิมะ” (SNOWFLAKE OBSIDIAN) นั้นคือ ออบซิเดียนที่มีลวดลายคล้ายเกล็ดหิมะอยู่ทั่วผิว เกิดจากมลทินทรงกลมที่แทรกอยู่ในเนื้อหิน โดยที่โครงสร้างของมลทินทรงกลมนั้น เกิดจากการเรียงตัวของแร่ในแนวรัศมีจึงทำให้ออบซิเดียน มีลักษณะเหมือนเกล็ดหิมะโดยปกติแล้วมักนิยมเจียระไนเป็นรูปหลังเต่า พบอยู่ในมลรัฐยูทาห์ สหรัฐอเมริกา และที่เรียกว่า “น้ำตาอปาเช่” (APACHA TEARS) นั้นเป็นออบซิเดียน ที่มีรูปทรงกลมตามธรรมชาติ พบที่นิวเม็กซิโก สหรัฐอเมริกา ออบซิเดียน ที่นำมาทำเครื่องประดับนั้นส่วนใหญ่จะได้มาจากสหรัฐอเมริกา และจะพบอยู่ในบริเวณที่มีหรือเคยมีภูเขาไฟมาก่อน เช่น เนวาดา ฮาวาย โอเรกอนและไวโอมิง นอกจากนี้แล้วยังพบอยู่อย่างเกลื่อนกลาดในประเทศเม็กซิโก ซึ่งมักมีลายและมีเหลือบสี
กระบวนการเกิด หินตะกอนเป็นหินที่มีมากถึง 75% ของหินบนพื้นผิวโลกจะเกิดจากอิทธิพลทางเคมีหรือทางกายภาพ ซึ่งทำให้ตะกอนที่เกิดจากการสลายตัวของหินใด ๆ ก็ได้ จะมีการทับถมและผ่านกระบวน ซึ่งจะทำให้แข็งอัดตัว โดยอุณหภูมิและความดัน จึงกลายเป็นหินตะกอนอยู่กับที่ แต่โดยส่วนมากแล้วมักจะถูกกระแสลม กระแสน้ำ หรือแรงโน้มถ่วงของโลก พัดพาไปสะสมในแหล่งอื่น
แหล่งกำเนิดของตะกอนมาจากหลายทาง เช่น
ตะกอนแผ่นดิน (Terrigenous Sediment) ประกอบด้วยอนุภาคที่เกิดสึกกร่อนผุพังของหิน
ตะกอนคอกลูเวียม (Collurium Sediment) เป็นตะกอนบนที่ลาดเอียง
ตะกอนอนินทรียสาร (Organic Sediment) ประกอบด้วยอนุภาคของซากพืช ซากสัตว์
ตะกอนไพโรคลาสติ (Pyroclastic Sediment) เป็นตะกอนที่เกิดจากการปะทุของภูเขาไฟแล้วเกิดการตกจม
ลักษณะพื้นฐาน
มีลักษณะเป็นชั้น
แร่มีการลบเหลี่ยมมุมไปบ้าง และมีการคัดขนาดในหิน
เนื้อหินจะมีลักษณะของการถูกพัดพา หรือตกตะกอน
จะมีแร่ยิปซั่ม เฮไลต์ ซึ่งมาจากสารละลายที่เกิดจากการตกตะกอน
จะมีแร่ควอร์ตซ์ แคลไซต์ มาก
มีซากดึกดำบรรพ์ปะปนอยู่
เป็นหินที่พบมากกว่าหินชนิดอื่น
ได้แก่
หินกรวดมน
ประเภท | หินตะกอน |
ลักษณะ | มีลักษณะกลมมน ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางโตกว่า 2 มม. |
กระบวนการเกิด | เกิดจากการอัดตัวกันแน่นของอนุภาค มีสารเชื่อม เช่น ซิลิกา คาร์บอเนต หรือสารประกอบของเหล็ก |
องค์ประกอบ | หินควอต์ไซต์ หินปูน หินทราย หรือแร่ควอตซ์ หินกรวด |
บริเวณที่พบ | พบทั่วไปทางภาคอีสาน บนที่ราบสูงโคราช และบางแห่งทางภาคใต้ |
ประโยชน์ | ใช้เป็นวัสดุก่อสร้างทาง หรือปกคลุมส่วนนอกของคันทางดินของเขื่อน |
หินกรวดเหลี่ยม
ประเภท
|
หินตะกอน
|
ลักษณะ
|
คล้ายกับหินกรวดกลมมาก แต่แตกต่างกันที่รูปร่างของอนุภาคหินชนิดนี้จะมีอนุภาคเป็นเหลี่ยม
|
กระบวนการเกิด
|
มักจะเกิดในบริเวณใกล้ ๆ แหล่งกำเนิดของเศษหิน ทำให้เศษหินยังไม่ถูกบดสีจนมีลักษณะมน
|
องค์ประกอบ
|
ผันแปรไปแล้วแต่ชนิดของหินหรือแร่ดั้งเดิม
|
บริเวณที่พบ
|
ในบริเวณใกล้ ๆ ฐานของหุบเขา ตามรอยแตกของหินที่ชัน หรือตามทางน้ำไหลบนภูเขา
|
ประโยชน์
|
ใช้เป็นวัสดุก่อสร้างทาง หรือ ปกคลุมส่วนนอกของคันทางดินของเขื่อน
|
หินโคลน
ประเภท
|
หินตะกอน
|
ลักษณะ
|
คล้ายกับหินกรวดกลมมาก แต่แตกต่างกันที่รูปร่างของอนุภาคหินชนิดนี้จะมีอนุภาคเป็นเหลี่ยม
|
กระบวนการเกิด
|
มักจะเกิดในบริเวณใกล้ ๆ แหล่งกำเนิดของเศษหิน ทำให้เศษหินยังไม่ถูกบดสีจนมีลักษณะมน
|
องค์ประกอบ
|
ผันแปรไปแล้วแต่ชนิดของหินหรือแร่ดั้งเดิม
|
บริเวณที่พบ
|
ในบริเวณใกล้ ๆ ฐานของหุบเขา ตามรอยแตกของหินที่ชัน หรือตามทางน้ำไหลบนภูเขา
|
ประโยชน์
|
ใช้เป็นวัสดุก่อสร้างทาง หรือ ปกคลุมส่วนนอกของคันทางดินของเขื่อน
|
หินเชิร์ต
ประเภท | หินตะกอน |
ลักษณะ | เนื้อแน่นแข็ง สีเทาอ่อน ดำ รอยแตกขรุขระ |
กระบวนการเกิด | เกิดจากสารพวกซิลิกา ซึ่งละลายมาจากหินเดิมตกตะกอนใหม่ และสะสมแทรกอยู่ในชั้นหินต่างๆ ส่วนมากพบในหินปูน |
องค์ประกอบ | ซิลิกา |
บริเวณที่พบ | ในประเทศไทยส่วนใหญ่หาพบได้ยาก |
ประโยชน์ | ทำเครื่องประดับ ทำเลนส์ |
หินดินดาน
ประเภท | หินตะกอน |
ลักษณะ | เนื้อละเอียดมากเหมือนดินเหนียว มักจะมีรอยชั้นบาง ๆ เมื่อบิดจะแตกตัวตามรอยชั้น มักจะพบว่ามีซากดึกดำบรรพ์อยู่ด้วย มีสีต่างกัน เช่น แดง น้ำตาล เหลือง เทา เขียว และดำ |
กระบวนการเกิด | หินที่เกิดจากอนุภาคที่มาจับตัวเป็นก้อนแข็ง ซึ่งมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเล็กกว่า 1/256 มม. |
องค์ประกอบ | ประกอบด้วยแร่ควอร์ตซ์ ซึ่งมีจำนวนน้อยกว่ามอนต์มอร์ลโลไนต์ ดินเหนียว และไมกา |
บริเวณที่พบ | เกือบทุกจังหวัดในภาคกลางของประเทศไทย แต่ที่เป็นแหล่งใหญ่ก็คือ บริเวณ จังหวัดสระบุรี อยุธยา ลพบุรี สมุทรปราการ นนทบุรี นอกจากนี้ยังพบที่เลย สงขลา ยะลา นครศรีธรรมราช ฯลฯ |
ประโยชน์ | เป็นวัสดุผสมใช้ทำซีเมนต์ บางทีก็นำมาปูถนนแต่หักง่ายเพราะความเชื่อมแน่นของหินต่ำ และยังนำมาทำเป็นหินประดับได้ด้วย |
หินทราย
ประเภท | หินตะกอน |
ลักษณะ | เนื้อหยาบ จับดูระคายมือ เพราะประกอบด้วยเม็ดทรายขนาดแตกต่างกัน (1/16 – 2 มม.) เม็ดแร่ส่วนใหญ่เป็นแร่ควอร์ตซ์ แต่อาจมีแร่อื่นและเศษหินดินปะปนอยู่ด้วย เพราะมีวัตถุประสารมีความแข็งมากสามารถขูดเหล็กเป็นรอยได้ มีสีต่าง ๆ เช่น แดง น้ำตาล เทา เขียว เหลืองอ่อน อาจแสดงรอยชั้นให้เห็น มีซากดึกดำบรรพ์ |
กระบวนการเกิด | จากการรวมตัวกันของเม็ดทราย |
องค์ประกอบ | ประกอบด้วยควอร์ตซ์เป็นส่วนใหญ่ อาจมีแร่แมกเนไทต์และไมกาปะปนอยู่ วัตถุประสาร (Cement) ส่วนมากเป็นพวกซิลิกา (ควอร์ตซ์ หรือเชิร์ต) แคลไซด์ โดโลไบต์ เหล็กออกไซด์ ซึ่งมักทำให้หินมีสีเหลือง น้ำตาล แดง |
บริเวณที่พบ | เป็นหินที่มีอยู่ทั่วไป แต่พบมากทางภาคอีสาน จังหวัดราชบุรี เพชรบุรี กาญจนบุรี และทางภาคใต้บางแห่ง |
ประโยชน์ | ใช้เป็นวัสดุในการก่อสร้างทำถนน สร้างโบราณสถาน แกะสลักรูปปั้น เช่น พระพุทธรูป |
หินปูน
ประเภท
|
หินตะกอน
|
ลักษณะ
|
หินปูนที่มีเนื้อแน่นละเอียดทึบ มีสีออกขาว เทา ชมพู หรือสีดำก็ได้ อาจมีซากดึกดำบรรพ์ในหินได้ เช่น ซากหอย ปะการัง ภูเขาหินปูนมักมียอดยักแหลมเป็นหน้าผา และเป็นหินที่ละลายน้ำได้ดี
|
กระบวนการเกิด
|
จากการตกตะกอนทางอนินทรีย์เคมี หรือจากการสะสมของเปลือกหอยเนื้อปูน หรือจากทั้งสองร่วมกัน
|
องค์ประกอบ
|
ด้วยแร่แคลเซียมคาร์บอเนต โดยมากเป็นแคลไซต์ ซึ่งทดสอบได้ง่าย โดยใช้กรดเกลือชนิดเจือจางหยดดู จะเกิดฟองฟู่ของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา
|
บริเวณที่พบ
|
จังหวัดสระบุรี เพชรบุรี กระบี่ นครศรีธรรมราช พังงา เป็นต้น
|
ประโยชน์
|
อุตสาหกรรมการทาง ทำถนน ทางรถไฟ เผาทำปูนขาว หรือปูนกินหมาก ทำแคลเซียมคาร์ไบด์ ทำวัสดุทนไฟ ทำปุ๋ย และทำสี
|
หินปูนซากดึกดำบรรพ์
ประเภท
|
หินตะกอน
|
ลักษณะ
|
หินปูนที่มีเนื้อแน่นละเอียดทึบ มีสีออกขาว เทา ชมพู หรือสีดำก็ได้ มีซากดึกดำบรรพ์ปนอยู่ในหินได้ เช่น ซากหอย ปะการัง ภูเขาหินปูนมักมียอดยักแหลมเป็นหน้าผา และเป็นหินที่ละลายน้ำได้ดี
|
กระบวนการเกิด
|
จากการตกตะกอนทางอนินทรีย์เคมี หรือจากการสะสมของเปลือกหอยเนื้อปูน หรือจากทั้งสองร่วมกัน
|
องค์ประกอบ
|
ด้วยแร่แคลเซียมคาร์บอเนต โดยมากเป็นแคลไซต์ ซึ่งทดสอบได้ง่าย โดยใช้กรดเกลือชนิดเจือจางหยดดู จะเกิดฟองฟู่ของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา
|
บริเวณที่พบ
|
จังหวัดสระบุรี เพชรบุรี กระบี่ นครศรีธรรมราช พังงา เป็นต้น
|
ประโยชน์
|
อุตสาหกรรมการทาง ทำถนน ทางรถไฟ เผาทำปูนขาว หรือปูนกินหมาก ทำแคลเซียมคาร์ไบด์ ทำวัสดุทนไฟ ทำปุ๋ย และทำสี
|
ไม้กลายเป็นหิน
ประเภท
|
หินตะกอน
|
ลักษณะ
|
คล้ายท่อนไม้ หรือชั้นไม้ แต่มีลักษณะแข็งเหมือนเนื้อหิน
|
กระบวนการเกิด
|
เกิดจากการแทนที่ของซิลิก้า ที่เข้าไปแทนที่อินทรีย์วัตถุของเนื้อไม้ โมเลกุลต่อโมเลกุล จนเปลี่ยนสภาพหินไปทั้งหมด
|
องค์ประกอบ
|
ประกอบด้วยแร่ซิลิก้า บางครั้งก็พบแร่แคลไซต์ปะปนอยู่
|
บริเวณที่พบ
|
บริเวณทั่วไปของทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และจังหวัดตาก
|
ประโยชน์
|
ใช้ประดับตกแต่ง สวนและบ้าน
|
ศิลาแลง
ประเภท
|
หินตะกอน
|
ลักษณะ
|
มีรูพรุนอยู่ทั่วก้อน สีแดงถึงน้ำตาลแดง แข็งจับตัวเป็นก้อน
|
กระบวนการเกิด
|
เกิดจากการชะล้างเหล็ก และอลูมิเนียมออกไซด์ ลงไปสะสมในน้ำใต้ดิน และมีการเปลี่ยนระดับน้ำใต้ดินขึ้น-ลงตามฤดูกาล ทำให้ให้เหล็กและอลูมิเนียมออกไซด์จับตัวกันเป็นก้อน
|
องค์ประกอบ
|
เหล็กออกไซด์ และอลูมิเนียมออกไซด์
|
บริเวณที่พบ
|
พบได้ทั่วไปในประเทศไทย พบมากที่จังหวัดปราจีนบุรี สิงห์บุรี สุโขทัย และตาก
|
ประโยชน์
|
ใช้ก่อสร้างกำแพงโบราณสถาน ทำถนน และทำหินประดับปูพื้น
|
กระบวนการเกิด เป็นหินที่เกิดจากสภาวะการแปรสภาพจากหินอื่น ๆ ซึ่งจะมีอิทธิพลจากอุณหภูมิ ความดัน และสารประกอบทางเคมีของแร่ การเปลี่ยนแปลงจะมีทั้งลักษณะโครงสร้างของหิน และส่วนประกอบของแร่ ซึ่งจะมีการปรับสภาพให้อยู่ในสภาวะสมดุล ภาวะเปลี่ยนแปลงทางกายภาพจะมีการบีบทำลายเม็ดแร่ มีการเกิดผลึกใหม่ มีการยึดประสานของเม็ดแร่ และการเพิ่มขนาดของเม็ดแร่
ลักษณะพื้นฐาน
- ในหินแปรบางชนิดจะมีแร่เรียงตัวแบบมีทิศทาง เป็นแนวยาวขนาน ลักษณะเป็นแผ่นโค้งงอ แต่ถ้าไม่มีการจัดเรียงตัว ก็จะจับประสานกันแน่นคล้ายกับหินอัคนี
- รูปร่างของเม็ดแร่จะเป็นวงรี หรือเป็นแผ่นเกล็ด
- จะมีการปรับสภาวะสมดุลของเนื้อหินให้เข้ากับความดันและอุณหภูมิที่กระทำ
- จะมีแร่การ์เนต เทรโมไลต์ ทัลก์ และเซอร์เพนทีน ซึ่งเป็นแร่เด่นที่พบในหินแปร
ได้แก่
หินควอร์ตไซต์
ประเภท
|
หินแปร
|
ลักษณะ
|
เมื่อแตกจะมีผิวรอบรอยแตกแบบโค้งเว้า
|
กระบวนการเกิด
|
โดยเกิดเป็นผลึกที่เกาะเกี่ยวซึ่งกันและกัน เป็นผลของการเกิดการตกตะกอนใหม่ อาจจะเกิดภายใต้สภาวะแวดล้อมที่มีอุณหภูมิ และความดันของการเกิดหินตะกอนในที่ตื้น และตกผลึกในช่องว่างต่าง ๆ ทำให้หินมีเนื้อแน่นขึ้น
|
องค์ประกอบ
|
แร่ควอร์ต (Quartz) แร่คลอไรต์ (Chlorite) แร่เฟลด์สปาร์ (Feldspar)
|
บริเวณที่พบ
|
จังหวัดชลบุรี (อ.ศรีราชา) ประจวบคีรีขันธ์ (อ.ปราณบุรี) กาญจนบุรี (อ.เมือง)
|
ประโยชน์
|
ใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องแก้ว ทำหินลับมีด หินประดับ
|
หินแคลก์ – ซิลิเกต
ประเภท | หินแปรแบบที่มีรอยขนาน |
ลักษณะ | เป็นเนื้อละเอียดมักจะแยกออกเป็นแผ่น ผิวรอยแยกเรียบ แร่ที่ประกอบในหินไม่อาจจะแยกด้วยตาเปล่า รอยแตกของหินชนวนมักขนานกับชั้นหิน มีสีต่างกันตามสารที่ประกอบอยู่ เช่น สีเท่าถึงดำ มีธาตุคาร์บอนจากหินเดิม และคาร์บอนอาจจะเปลี่ยนเป็นแกรไฟต์ หินชนวนสีแดงหรือม่วงเกิดจากเหล็กและแมงกานีสออกไซด์ สีเขียวมีเหล็กเฟอรัสซิลิเกตในหิน |
กระบวนการเกิด | เกิดจากการแปรสภาพจากดินดาน และหินอัคนีที่เป็นเกรดต่ำ เนื่องจากถูกความกดดันและความร้อน |
องค์ประกอบ | มีแร่ดินเหนียวเป็นส่วนใหญ่ แร่คลอไลต์ และแร่ไมก้า |
บริเวณที่พบ | จ.กาญจนบุรี ชลบุรี ระยอง นครศรีธรรมราช นราธิวาส และนครราชสีมา |
ประโยชน์ | นิยมนำมาใช้เป็นกระดานชนวนเขียนหนังสือ แผ่นขนาดใหญ่ใช้ในการ มุงหลังคา ปูพื้นโต๊ะสนุกเกอร์ ทำหินประดับ |
หินชนวน
ประเภท | หินแปร |
ลักษณะ | เป็นเนื้อละเอียดมักจะแยกออกเป็นแผ่น ผิวรอยแยกเรียบ แร่ที่ประกอบในหินไม่อาจจะแยกด้วยตาเปล่า มีแร่ดินเหนียวเป็นส่วนใหญ่รอยแตกของหินชนวนมักขนานกับชั้นหิน มีสีต่างกันตามสารที่ประกอบอยู่ เช่น สีเทาถึงดำ มีธาตุคาร์บอนจากหินเดิม และคาร์บอนอาจจะเปลี่ยนเป็นแกรไฟต์ หินชนวนสีแดงหรือม่วงเกิดจากเหล็กและแมงกานีสออกไซด์ สีเขียวมีเหล็กเฟอรัสซิลิเกตในหิน |
กระบวนการเกิด | เกิดจากการแปรสภาพจากดินดาน และหินอัคนีที่เป็นเกรดต่ำ เนื่องจากถูกความกดดันและความร้อน |
องค์ประกอบ | แร่คลอไลต์ และแร่ไมก้า |
บริเวณที่พบ | จังหวัดกาญจนบุรี ชลบุรี ระยอง นครศรีธรรมราช นราธิวาส และนครราชสีมา |
ประโยชน์ | นิยมนำมาใช้เป็นกระดานชนวนเขียนหนังสือ แผ่นขนาดใหญ่ใช้ในการ มุงหลังคา ปูพื้นโต๊ะสนุกเกอร์ |
หินชีสต์
ประเภท | หินแปร |
ลักษณะ | เป็นเส้นใยแตกออกยาก และไม่แตกเป็นแผ่นเรียบ เพราะแร่เป็นเกล็ด แบบสั้น ๆ เมื่อแตกแล้วจะมีผิวขรุขระ |
กระบวนการเกิด | เกิดจากหินตะกอน หินอัคนี และหินแปร ที่ถูกสภาวะแปรสภาพด้วยความกดดัน และความร้อนสูง |
องค์ประกอบ | แร่ไมกา แร่เทา แร่คลอไลต์ แร่ฮีมาไทต์ |
บริเวณที่พบ | เขื่อนภูมิพล จ.ตาก อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี อ.ปราณบุรี และอ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ (อ. หัวหิน) |
ประโยชน์ | ใช้ทำหินประดับ |
หินไส์น
ประเภท
|
หินแปรแบบที่มีรอยขนาน
|
ลักษณะ | เนื้อหยาบ แร่แยกกันเป็นแถบหรือเป็นชิ้น |
กระบวนการเกิด | เกิดจากการแปรสภาพแบบภูมิภาพเกรดสูง ซึ่งเป็นผลจากความร้อน และความกดดันสูง โดยเดิมเป็นหินอัคนี และหินตะกอน |
องค์ประกอบ | แร่ควอร์ต โพแทชเฟลต์สปาร์ (Potash Feldspar) แร่มัสโคไวต์ (Muscovite) แร่คอร์เดียไรต์ (Cordierite) |
บริเวณที่พบ | จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (อ.หัวหิน อ.ปราณบุรี) ชลบุรี (อ.ศรีราชา) ตาก (อ.ลานสาง) เชียงใหม่ (อ.สอด) เชียงราย (อ.เชียงแสน) |
ประโยชน์ | ใช้ทำหินบด ทำครก หินประดับ |
หินฟิลไลต์
ประเภท
|
หินแปร
|
ลักษณะ
|
มีส่วนประกอบคล้ายหินชนวน แร่ที่เกิดขึ้นมีผลึกหยาบกว่า หินชนวนที่ถูกแปรสภาพรุนแรง จะเปลี่ยนเป็นหินฟิลไลต์ เมื่อถูกความร้อนที่มากกว่า 250 – 300 องศาเซลเซียล ทำให้คลอไลต์และไมกามีขนาดผลึกใหญ่ขึ้น
|
กระบวนการเกิด
|
เกิดจากหินตะกอน หินอัคนี และหินแปร ที่ถูกแปรสภาพด้วยความกดดัน และความร้อนแต่น้อยกว่าหินชีสต์
|
องค์ประกอบ
|
แร่ควอร์ต แร่ออกไซด์ของเหล็ก และแมกนีเซียม แร่คลอไลต์ แร่มัสโคไวต์
|
บริเวณที่พบ
|
จังหวัดชลบุรี (อ.บางละมุง) ยะลา (อ.เมือง อ.เบตง) ตาก (เส้นทางสายตาก – แม่สอด) ราชบุรี
|
ประโยชน์
|
ใช้เป็นวัสดุในการทำถนนชั่วคราว
|
หินอ่อน
ประเภท
|
หินแปร
|
ลักษณะ
|
มีทั้งเนื้อละเอียดและเนื้อหยาบ เนื้อหินแวววาว มีสีแดง เหลือง น้ำตาล
|
กระบวนการเกิด
|
เป็นหินที่ได้จากหินคาร์บอเนตที่ตกผลึกใหม่ จนสามารถมองเห็นแร่คาร์บอเนตอย่างชัดเจน
|
องค์ประกอบ
|
แร่คัลไซต์ แร่แคลไซต์ แร่โดโลไมต์
|
บริเวณที่พบ
|
จังหวัดสระบุรี ลพบุรี ชลบุรี กาญจนบุรี และประจวบคีรีขันธ์
|
ประโยชน์
|
ทำหินขัด หินประดับ หินตกแต่ง ทำถนน รองทางรถไฟ และแกะสลัก
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น